สนามบอลโลก

วันพฤหัสบดีที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เพื่อ...เพื่อน



..ไหล่ของฉัน
มันไม่ได้มีความหมายเพียงเพื่อประคองหัวฉันไว้คนเดียวเท่านั้น
แต่เพื่อน สามารถใช้มันเพื่อประคองหัวเพื่อนได้ด้วย

..เสื้อของฉัน
ไม่ได้มีไว้ห้อหุ้มร่างกายของฉันเพียงอย่างเดียว
มันพร้อมจะเป็นที่เช็ดน้ำตา และที่สั่งขี้มูกของเพื่อนถ้าเพื่อนต้องการ

..แขนของฉัน
ไม่ได้มีไว้จูงหมาเดินเล่น แต่มันสามารถใช้ประคองเพื่อนเมื่อเพื่อนจะล้ม
แต่ถ้าเพื่อนล้มลงไปแล้ว ฉันก็ยังมีมืออีก 1คู่ไว้ช่วยฉุดเพื่อนขึ้นมา

..ปากของฉัน
ไม่ได้มีไว้เพื่อกินและพูดพล่ามทั้งวันหรอกนะ
แต่มีไว้พูดให้กำลังใจเพื่อนด้วยเมื่อถึงเวลาจำเป็น

..ตาของฉัน
มีไว้เพียงเพื่อกระพริบขึ้นลงเสียเมื่อไหร่
ฉันเอาไว้ใช้มัน มองสิ่งดีๆในตัวเพื่อนด้วยต่างหาก

..ฟันของฉัน
ก็ไม่ได้มีไว้กัดใครๆเขา
แต่มีไว้เพื่อจะใช้มันประดับเหงือก ทุกครั้งฉันยิ้มให้เพื่อน

..หูของฉัน
ก็ไม่ได้มีไว้เพื่อเจาะรูแขวนเครื่องประดับ
แต่มันใช้ฟังเพื่อน เมื่อเพื่อนต้องการระบายอะไรออกมาให้ฉันฟัง

..เท้าของฉัน
ไม่ได้มีไว้สะสมกลิ่น... โอเค ถึงแม้มันอาจจะมีบ้าง
แต่ฉันจะใช้เท้า เพื่อเดินอยู่ข้างๆเพื่อนนี่แหละ จะไม่ไปไหนไกล

..สมองของฉัน
อาจไม่ค่อยมีประโยชน์เวลาสอบนักก็จริง
แต่มันจะทำงานหนัก เมื่อเพื่อนต้องการความช่วยเหลือ

..และหัวใจของฉัน
ก็ไม่ได้มีไว้สูบฉีดเลือดเพียงอย่างเดียว
แต่มันทำหน้าที่เก็บเพื่อนไว้ข้างในได้ด้วย...
ที่มา : มิกา นาโนอิ
เจ้าของบทความ : ไม่ทราบชื่อ

15 วิธีแก้ "เบื่อ" ก่อนปล่อยให้ปัญหาเรื้อรังทำลายสุขภาพ


เริ่มต้นการทำงานกับเช้าวันจันทร์กันอีกแล้ว หลาย ๆ คนอาจยังไม่พร้อมสำหรับการลุกขึ้นสู้ในวันนี้ รวมถึงอาจมีอาการเบื่อหน่าย อยากนอนพักต่ออีกสักงีบ หรืออีกสักวัน แต่อย่าปล่อยให้ความเบื่อทำร้ายสุขภาพค่ะ เพราะมีการวิจัยโดยผู้เชี่ยวชาญจาก University College London ระบุว่า การที่คนเราปล่อยให้ชีวิตน่าเบื่อหน่าย ไม่มีไฟในการทำสิ่งต่าง ๆ นั้นจะดึงคุณให้หันไปหาพฤติกรรมที่ทำร้ายสุขภาพตัวเองได้ในที่สุด ยกตัวอย่างเช่น การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ เสพยาเสพติด หรือมีปัญหาด้านพฤติกรรม - การเข้าสังคม ที่เลวร้ายกว่านั้นคือ ปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้อาจทำให้คุณเสียชีวิตได้ตั้งแต่อายุยังน้อยอีกด้วย

ที่น่าแปลกใจก็คือ ผลการวิเคราะห์แบบสอบถามที่ตอบโดยกลุ่มอาสาสมัครอายุระหว่าง 35 - 55 ปีจำนวน 7,000 คนในช่วงปี ค.ศ. 1985 - 1988 นั้นพบว่า กลุ่มผู้หญิงเป็นกลุ่มที่มีอาการเบื่อหน่ายในชีวิตสูงสุด

อย่างไรก็ดี มีแนวทางที่ช่วยลดอาการเบื่อลงได้ ซึ่งทางเว็บไซต์ zenhabits.net ได้รวบรวมเอาไว้ 15 ข้อดังนี้

1. หาความท้าทายใหม่ ๆ ให้ชีวิต หลายครั้งที่คนเราเกิดความรู้สึกเบื่อเป็นเพราะชีวิตไม่ได้พบกับความท้าทายใด ๆ เลย มีแต่งานรูทีนที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง คงจะดีหากคุณตั้งเป้าหมายใหม่ ๆ ให้กับของชีวิตให้ตัวเอง และพยายามพิชิตมันให้ได้ ถึงแม้ว่าจะไม่สำเร็จ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่อย่างน้อย ชีวิตคุณก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงบ้างแล้ว

2. มองหางานใหม่ หากวิเคราะห์แล้วว่าสิ่งที่ทำให้คุณเบื่อก็คืองานที่ทำ คุณอาจจำเป็นต้องคิดถึงการโยกย้ายเอาไว้บ้าง ซึ่งคำแนะนำของทางเว็บไซต์ระบุว่า ไม่จำเป็นต้องยื่นใบลาออกทันที แต่ให้ลองทำลิสต์รายชื่อของบริษัทที่น่าสนใจ-งานที่คุณคิดว่าจะไม่ทำให้คุณเบื่อ อัปเดตประวัติการทำงาน และลองส่งออกไปก่อนดีกว่าออกมาเดินเตะฝุ่นเล่น ๆ

3. ตั้งเป้าหมายของชีวิต และจดออกมาเป็นข้อ ๆ ถึงสิ่งที่คุณต้องการจะทำให้สำเร็จให้ได้ก่อนที่คุณจะจากโลกนี้ไป ไม่จำเป็นต้องเกี่ยวกับงานอย่างเดียว เป็นเรื่องของทัศนคติ มุมมอง หรือความต้องการใด ๆ ก็ได้ แต่หากเคยทำเอาไว้แล้ว ก็ลองหยิบมันขึ้นมาอ่านใหม่อีกสักครั้ง หรือเลือกเป้าหมายชีวิตสักข้อขึ้นมาทำให้สำเร็จในปีนี้

4. เคลียร์โต๊ะทำงาน เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีที่จะช่วยเปิดมุมมองใหม่ ๆ ให้กับชีวิต และได้ย้ายของที่ไม่จำเป็นออกไปเสียบ้าง หรืออาจใช้เวลานี้เปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงาน ลองคิดหาวิธีที่จะช่วยให้งานเสร็จเร็วขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น สิ้นเปลืองทรัพยากรน้อยลง

5. หางานอดิเรกที่ชื่นชอบมาทำ เช่น หาเวลาว่างอ่านหนังสือ เขียนบล็อก เล่นเกม เพื่อหาอะไรใหม่ ๆ ให้กับชีวิต แต่อย่าให้เบียดบังเวลางานจนกระทั่งถูกเพ่งเล็งจากคนรอบข้าง ควรใช้เวลาว่างก่อนหรือหลังเลิกงานทำงานอดิเรกเหล่านี้จะดีกว่า

6. สมัครคอร์สเรียนพิเศษหาความรู้ให้ตัวเอง ไม่จำเป็นว่าต้องเรียนในสิ่งที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่การงานเสมอไป อาจเป็นการเรียนภาษาอังกฤษเพิ่มในวันเสาร์ - อาทิตย์ เรียนทำอาหาร เรียนศิลปะ เรียนคอมพิวเตอร์ หรืออะไรก็ได้ที่คุณสนใจ

7. ลาพักผ่อน เขียนใบลาพักร้อนสัก 1 - 2 วัน หนีความเบื่อหน่ายซ้ำซากในชีวิตก็เป็นเรื่องที่สามารถทำได้

8. เดินยืดเส้นยืดสาย

9. ดื่มน้ำเยอะ ๆ

10. โทรศัพท์ - เขียนจดหมายหาคนที่คุณรัก

11. จัดการไฟล์บนคอมพิวเตอร์ให้เป็นระเบียบ

12. เช็คเมลให้หมด หลายคนมีเมลค้างอยู่นับสิบนับร้อยฉบับ ไม่มีเวลาเช็ค ช่วงที่เบื่อ ๆ การเข้าไปเช็คเมลให้หมด ก็อาจได้ข้อมูล - แนวคิดดี ๆ จากเมลเหล่านั้นติดกลับมือออกมาบ้าง

13. วางแผนการเงิน หรือเปลี่ยนวิธีใช้เงินของตัวเอง จากที่เคยใช้หมดไม่เคยเหลือเก็บ ก็ลองมองหารูปแบบการเก็บเงินเหมาะ ๆ ให้กับตัวเอง นอกจากนี้ยังสามารถใช้เครื่องมือต่าง ๆ ในคอมพิวเตอร์-อินเทอร์เน็ต ในการช่วยบริหารจัดการรายได้ที่มีให้เป็นระบบมากยิ่งขึ้นได้ด้วย (อย่างไรก็ดี ควรระวังการป้อนข้อมูลบางชนิดลงไปด้วย เช่น เลขบัตรเครดิต หมายเลขบัญชีธนาคาร ฯลฯ เพราะหากมีการรั่วไหลของข้อมูลแล้ว อาจกลายเป็นความสูญเสียทางการเงินได้)

14. อยู่ห่างจากคนหรือสถานการณ์ที่ทำให้เบื่อ แม้ว่าในชีวิตจริง คนเราจะไม่สามารถหลีกหนีคน-สถานการณ์ที่น่าเบื่อไปได้ แต่การไม่นำสิ่งเหล่านั้นมาคิดต่อก็เป็นการสร้างปราการขึึ้นในจิตใจและช่วยให้คุณมีแรงใจในการทำงานมากขึ้น

15. เป็นอาสาสมัครช่วยเหลือคนอื่น เช่น ทำงานเป็นอาสาสมัครในโรงพยาบาล หรือช่วยเลี้ยงเด็กอ่อน ช่วยสอนหนังสือเด็ก ๆ เป็นต้น
ที่มา : ASTVผู้จัดการออนไลน์
เจ้าของบทความ : zenhabits.net

9 ไอเดียรัก แฮปปี้เอนดิ้ง



1. ออกเดทพิสดาร ควรชวนเขาไปออกเดทที่แตกต่างจากการนั่งฟังเพลง กินข้าว ดูหนัง เช่น ขับรถเที่ยวต่างจังหวัดแบบวันเดย์ทริป ไม่จำเป็นต้องเลือกสถานที่ๆ คุณชอบเสมอไป การผจญภัยที่แปลกใหม่ จะทำให้คุณและเขาได้เป็นตัวของตัวเอง และสามารถตรวจสอบความสอดคล้องของชีวิตคู่ได้เร็วเกินคาด

2. อัพเดทแนวคิดชีวิตรัก ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมต้องมีเปลี่ยนแปลง และเป็นไปได้เสมอที่ความรักของคุณและเขานั้นเติบโตไม่เท่ากัน จึงควรหาเวลานั่งคุยกันถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน และหากการพูดคุยในแบบตรงไปตรงมานั้นจะหมายถึงการปิดฉากความรัก ก็ควรยอมรับอย่าทู่ซี้ค่ะ แต่ถ้ามันสามารถจะตกลง และร่วมมือกันกำจัดได้ คุณและเขาจะสามารถลดปัญหาอุปสรรคความสัมพันธ์ไปได้อีกหนึ่งข้อ เมื่อแต่งงานกันจริงๆ อาจจะไม่เหลืออะไรที่หนักเหนื่อยให้ต้องแก้ไข

3. ไม่ไหว…จะเคลียร์ ความระแวงคือเชื้อร้าย และบ่อยด้วยสิที่มันมาจากความคิดของเราฝ่ายเดียวแบบไร้หลักฐาน ควรหยิบมันมาคุยกับเขาให้สิ้นเรื่องราว ซักกันให้ใสไปเลยดีกว่า เพื่อความสบายใจ หูตาไสวสว่าง คำแนะนำคือ อย่าทำแบบเล็กๆ น้อยๆ บ่อยๆ ถี่ๆ เอาแบบมีประเด็นดีกว่า ที่สำคัญคือ ถ้าคุณเลือกจะเชื่อและคบกันต่อก็ขอให้การเคลียร์กันนั้นจบและโยนทิ้งไปเลย

4. ประนีประนอมรอมชอมหัวใจ ผู้หญิงใช้อารมณ์และความรู้สึก ในขณะที่ผู้ชายยึดหลักเหตุผลแบบผูกขาด ดังนั้น การสงบสงครามที่ดีและนำไปสู่ข้อตกลงแห่งสันติภาพคือการรับฟังเขา และอ้างอิงเหตุผลประกอบความรู้สึก ผู้ชายมักยอมอ่อนข้อให้เมื่อผู้หญิงแสดงท่าทีอ่อนแอ มุขนี้ใช้ได้ชัวร์ค่ะ

5. ไม่ผูกขาดสปอนเซอร์ อย่า เอาแต่รับ และอย่าเอาแต่ให้ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องคิดทุกอย่างแบบหารสองเป๊ะๆ หาโอกาสจ่ายแทนเขาบ้าง ให้เขาจ่ายแทนบ้าง ในโอกาสที่เหมาะสม แนวคิดนี้จะดีในระยะยาวเมื่อคุณทั้งคู่แต่งงานใช้ชีวิตร่วมกัน

6. แสดงความซื่อสัตย์และไว้ใจ ทำให้เขาเห็นว่าคุณมีใจเด็ดเดี่ยวในความรัก ไม่วอกแวก หรือสร้างสถานการณ์ให้เขาหึงหวง และพร้อมกันนั้นคุณก็ต้องให้ความเชื่อใจเขาเช่นกัน ด้วยการไม่เข้าไปจู้จี้ สืบค้นปมต่างๆ ของเขา หรือแสดงความเป็นเจ้าของในทุกวาระโอกาส ควรอยู่ด้วยความเชื่อมั่นเพื่อให้ช่วงเวลาที่แชร์กันเต็มไปด้วยความสุข

7. แบ่งปันและรับผิดชอบร่วมกัน อย่าให้ใครคนใดคนหนึ่งต้อง Take Side รับผิดชอบความรู้สึกทุกข์หรือสุขอยู่ฝ่ายเดียว เพราะมันจะทำให้เกิดสถานการณ์ฟางเส้นสุดท้ายในวันหนึ่ง และต้องเลิกรากันไป บางครั้งคุณต้องยอมลดความสุขในแบบของตัวเองลงบ้าง เพื่อนำมันมาเติมลงในความสุขกองกลาง

8. เปิดอกให้ซบ ทำตัวเองให้เป็นที่พึ่งพิง ให้คำปรึกษาแก่เขาได้เสมอในยามทุกข์ร้อน แนวคิดสำคัญคือ การที่คุณต้องมองทางออกปัญหาในแบบไม่อยู่วังวนเดียวกัน และมอบกำลังใจ ความอ่อนโยน ความเชื่อมั่นให้เขา

9. ผิดไปแล้ว สิ่งที่สร้างความเสียหายให้ชีวิตมากที่สุดคือความเพิกเฉยต่อคำขอโทษ ในกรณีที่เขาผิด การยกโทษให้ดีกว่าทำลืม เพราะไม่มีใครลืมอะไรได้จริงๆ และให้ความผิดพลาดเป็นบทเรียน อย่าทำให้เกิดซ้ำสอง

ขอขอบคุณบทความ จาก First Magazine
ที่มา : Ern Jar
เจ้าของบทความ : First Magazine

5 สิ่งที่หญิงไม่ควรพูดอย่างยิ่ง !!!


1. เรื่องน่ารักของสัตว์เลี้ยงคุณ

มันออกจะเป็นการน่ารำคาญนิดหน่อยสำหรับพวกผู้ชาย ถ้าได้ยินคุณทำเสียงจ๊ะจ๋ากับหมาพุดเดิ้ลของคุณ ลูกอย่างนั้น ลูกอย่างนี้ อะไรประเภทเนี้ยค่ะ เพราะว่าการหลงใหลสัตว์เลี้ยงของคุณจนออกนอกหน้า มันจะทำให้พวกผู้ชายคิดไปไกลขนาดที่ว่า คนที่จะมาเป็นคู่ของคุณอาจจะต้องคอยให้คุณป้อนอาหาร หรือยอมให้คุณจับแต่งตัว และบางทีอาจจะถูกจำกัดบริเวณหากจุ้นจ้านเกินเหตุ

2. เรื่องเกี่ยวกับการรักษาโรคแบบใหม่

มันอาจจะเป็นเรื่องสำคัญสำหรับคุณ เกี่ยวกับการรักษาสุขภาพไม่ว่าจะเป็นด้วยวิธีการใดๆ เช่นชีวจิต หรือ
อโรมาเธอราปี จงจำเอาไว้เลยว่า เมื่อใดที่คุณเล่าเรื่องนี้ให้กับพวกผู้ชายฟัง เค้าจะคิดอยู่ในใจทันทีว่าคุณเป็นหญิงประเภทจิตใจไม่มั่นคง เจออะไรใหม่ไม่ได้ เป็นต้องวิ่งถลาไปลองทุกครั้ง

3. เรื่องความประทับใจในสิ่งที่คนอื่นทำ

อย่าได้คุยเกี่ยวกับการชื่นชม ประเภทที่ว่า อุ๊ย ดูพวกผู้ชายพวกนั้นสิ เรียนกฎหมายมา เดี๋ยวนี้จบมาเงินเดือนหลายหมื่นเชียวนะ การพูดชื่นชมคนอื่นแต่เพ่งเป้าหมายไปที่เรื่องเงินเดือนหน่ะ มันทำให้พวกผู้ชายคิดว่าคุณใส่ใจแต่เรื่องเงิน มันจะทำให้เค้ารู้สึกว่า คุณตีค่าการคบกันของคุณกับเค้าเพราะเงินตัวเดียว

4. โอ้ว วิวช่างสวยอะไรอย่างเนี้ย

มันช่างเป็นเรื่องน่าเบื่อสุดๆ สำหรับพวกผู้ชาย ที่ไม่ค่อยจะเข้าใจอารมณ์ชื่นชมธรรมชาติของหญิงเอาซะเลย เพราะถ้าเป็นผู้ชายเห็นวิวสวยๆ เค้าจะชื่นชมในใจ แต่กับพวกผู้หญิงจะต้อง "ฉันชอบพระอาทิตย์ตกดินที่นี่จัง มันสวยมาก สวยที่สุดที่ฉันเคยเห็นมา" และก็จะพูดจาซ้ำๆ อย่างนี้อยู่ทุกวันที่เห็นเลยทีเดียว

5. ดาราคนโปรด

ผู้ชายเค้าไม่สนใจหรอกค่ะว่าดาราคนไหน ใครควงกับใคร ใครจะเลิกกับใคร ใครจะไปทำหน้าอกมา ฯลฯ เพราะเค้าคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องของเค้าซักกะหน่อย และไม่เข้าใจว่าทำไม๊ ทำไมพวกผู้หญิงถึงเกาะจิกติดกับข่าวแบบนั้นอยู่ทุกวัน กับชีวิตของคนอื่นที่เราก็ไม่เคยรู้จัก

รู้อย่างนี้แล้ว ก็อย่าได้หลุดปากไล่ชายหนุ่มที่คุณหมายปองอยู่เชียวนะคะ เพราะเรื่องอื่นมีให้คุยตั้งถมเถ ลองงัดมาคุยดูเถอะค่ะ เราเชื่อว่าพวกผู้หญิงอย่างเราๆ ทุกคนมีเรื่องมาให้เม้าท์กันไม่เว้นแต่ละวันอยู่แล้ว จริงมั๊ย
ที่มา : admin
เจ้าของบทความ : ไม่ทราบชื่อ

ประวัติบอลโลก

ประวัติถ้วยบอลโลก ตำนานโทรฟี่ฟุตบอลโลก จาก ‘จูลส์ ริเมต์’ ถึง ‘ฟีฟ่าเวิลด์คัพ’

ความเป็นมาของถ้วยฟุตบอลโลกที่นับเป็นแรงบันดาลใจให้นักเตะทีมต่างๆต่อสู้เพื่อพิสูจน์ฝีมือและศักดิ์ศรีของประเทศนั้นมีด้วยกันสองรุ่น โดยรุ่นล่าสุดนี้เป็นถ้วยรางวัลที่ทำจากทองคำ 18 กะรัต (75 เปอร์เซ็นต์) ความสูง 36.5 เซนติเมตร เส้นผ่านศูนย์กลางที่ฐาน 13 เซนติเมตร และมีน้ำหนักรวม 6.175 กิโลกรัม

เรียกว่าถ้วยฟีฟ่าเวิลด์คัพ (FIFA World Cup Trophy) ออกแบบโดยประติมากรรมชาวอิตาเลียน ซิลวิโอ กาซซานิก้า ในปีค.ศ.1971 โดยเส้นของรูปปั้นบิดขึ้นมาจากฐานเป็นรูปนักกีฬาสองคนยืนหันหลังยกโลก ดูมีพลังเคลื่อนไหวในตัวเพื่อเป็นจังหวะแห่งการฉลองชัยชนะ

ถ้วยเวิลด์คัพใบนี้เริ่มใช้ครั้งแรกในการแข่งขันปีค.ศ.1974 ที่ประเทศเยอรมนีเป็นเจ้าภาพ และเยอรมนีก็คว้าถ้วยใบนี้สำเร็จครอบครองไว้นาน 4 ปี จากนั้นจึงลงไปอยู่อเมริกาใต้ แล้วกลับขึ้นมายุโรป สลับกัน 2 ทวีป อย่างนี้ในทุก 4 ปี เพราะประเทศที่ได้แชมป์จากเยอรมนีก็คือ อาร์เจนตินา (1978) อิตาลี (1982) เยอรมนี (1990) แล้วก็ล่าสุดคือบราซิล (1994)

แต่ถ้วยฟีฟ่าไม่ได้เป็นของใครคนใดคนหนึ่ง เพราะฟีฟ่า หรือสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ ถือว่าถ้วยนี้จะต้องอยู่ถาวรกับฟีฟ่า ผู้ชนะจะได้รับถ้วยจำลองที่ทำจากทองผสม ส่วนที่ฐานซึ่งมีแหวนคาดสองเส้น มีพื้นที่ไว้สลักชื่อผู้ชนะ 17 ช่อง ซึ่งเมื่อถึงปีค.ศ.2038 ชื่อก็จะเต็มช่องเหล่านี้ จากนั้นจะทำอย่างไรต่อไป ฟีฟ่าก็คงต้องปรึกษากัน

สำหรับประวัติถ้วยบอลโลกจูลส์ ริเมต์


ถ้วยเดิมชื่อถ้วยจูลส์ ริเมต์ ซึ่งเป็นชื่อของประธานฟีฟ่า ชาวฝรั่งเศสที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงจัดการแข่งขันฟุตบอลโลก ครั้งแรกสำเร็จในปีค.ศ.1930 ถ้วยแรกทำจากเงินและทองหนัก 3.8 กิโลกรัม สูง 38 เซนติเมตร ฐานทำด้วยหินล้ำค่าสีฟ้า หรือไพฑูรย์ (Lapislazule) เป็นรูปเทพธิดาแห่งชัยชนะ (Goddess of Victory) goddess of victory
ตรงเหลี่ยม 4 ด้านของฐาน สลักชื่อประเทศที่ได้แชมป์ที่ 9 ราย ชื่อนับตั้งแต่ปี 1930-1970 (continue reading…)

ประวัติสโมสรแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด

ย้อนรอยอดีต แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พอนึกถึง "แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด" สโมสรฟุตบอลแนวหน้าของยุโรปทีไร พวกเราพลพรรค เรด อาร์มี่ ทุกคน ก็ต้องนึกย้อนไปถึงในอดีตในปี ค.ศ. 1902 แต่ก่อนหน้านี้ ทีมขวัญใจของพวกเราไม่ได้ชื่อนี้ พวกเขาถือกำเนิดด้วยชื่ออื่นๆ ซึ่งเป็นระยะเวลายาวนานเกินกว่า 100 ปี ในปี ค.ศ. 1878 พนักงานการรถไฟสาย แลงคาเซียร์ แอนด์ ยอร์คเชียร์ ได้เกิดไอเดียในระหว่างที่กำลังรับประทานอาหารมื้อเย็นอยู่ โดยพวกเขาได้ร่วมก่อตั้งทีมฟุตบอลทีมหนึ่งขึ้นมา และตระเวนเล่นกันอยู่ในแถบเมือง นอร์ธกราวด์ ซึ่งอยู่ใน นิวตัน ฮีธ สถานที่ซ้อมก็ใช้รางรถไฟ เป็นเส้นแบ่งเขตสนาม ตลอดจนเสียงจากรถไฟเครื่องจักรไอน้ำ ก็เสมือนเป็นเสียงของกองเชียร์ ทีมฟุตบอล นิวตัน ฮีธ ที่พวกเขาตั้งขึ้นมาก็เล่นฟุตบอลกันได้อย่างดีเยี่ยมน่าประทับใจ โดยชุดแข่งที่ใช้นั้นเป็นเสื้อสี เขียว-เหลือง อย่างละครึ่ง ส่วนกางเกงเป็นสีดำและเป็นชุดเก่งของทีมด้วย พนักงานที่อยู่ในแถบนั้น แพ้ นิวตัน ฮีธ แบบสู้ไม่ได้เลย ในปี ค.ศ. 1885 สมาชิกในทีมได้ตัดสินใจติดต่อกับการรถไฟ และก่อตั้งทีมเพื่อเป็น บริษัท จำกัด โดยใช้ชื่อว่า นิวตัน ฮีธ ฟุตบอลคลับ ผลงานชิ้นแรกของพวกเขาคือการคว้าแชมป์ของเมือง แมนเชสเตอร์ ในแมตช์ แมนเชสเตอร์ คัพ มาครอง นั่นคือถ้วยแรกของทีม นิวตัน ฮีธ ต่อมาอีก 3 ปี ฟุตบอลลีกของอังกฤษ ได้ก่อตั้งขึ้นมา ทีมรอบๆ เมือง โบลตัน กับ แอคคริงตัน ถูกเชิญเข้าร่วมการแข่งขันด้วย ยกเว้น นิวตัน ฮีธ แต่ถึงกระนั้น พวกเขาก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก เพราะยังมีอีกหลายทีมที่ไม่ได้รับเชิญเข้าเป็นสมาชิกในตอนแรก พวกเขาก่อตั้งลีกกันเองโดยใช้ชื่อว่า อัลไลแอนช์ โดยมี เชฟฟิลด์ เว้นท์เดย์, นอตติ้งแฮม ฟอเรสต์ และ สมอลล์ ฮีธ ซึ่งในปัจจุบันก็คือทีม เบอร์มิ่งแฮม ซิตี้ นั่นเอง การแข่งขันในฤดูกาลแรกของพวกเขาได้อันดับ 8 จาก 12 ทีม ปีต่อมาได้อันดับ 9 ในปี ค.ศ. 1891 นิวตัน ฮีธ ได้รองแชมป์โดยเป็นรอง นอตติ้งแฮม ฟอเรสต์ อย่างไรก็ตามปีต่อมาฟุตบอลลีก มีการแก้ไขเรื่องสมาชิกใหม่ และพวกเขาตอบรับการเข้าร่วมในลีกการแข่งขัน แต่พวกเขาเริ่มต้นในลีกได้ไม่ดีนักเมื่อทีม นิวตันฮีธ เปิดฤดูกาลใหม่ด้วยการแพ้ให้กับ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ไป 3-4 จากนั้นทีมก็ร่วงไม่เป็นท่า โดยชนะแค่ 6 ครั้งใน 30 นัด ตกไปอยู่ในอับดับบ๊วยของตาราง ก่อนที่จะรอดการตกชั้นเพราะว่า พวกเขาชนะ สมอลล์ ฮีธ 5-2 ที่ บรามอลล์เลน ปีต่อมา พวกเขายังเล่นแย่เหมือนเดิม และกลายเป็นทีมที่อยู่ในอันดับบ๊วยของตารางอีกเช่นเคย และก็โดน ลิเวอร์พูล ถล่มประตูเอาชนะไป 2-0 ทำให้ นิวตัน ฮีธ ตกชั้นไปในที่สุด นั่นเป็นช่วงเวลาที่ย่ำแย่ของพวกเขา แม้จะมีการยุบลีกและตั้งใหม่ แต่ทีมก็มีปัญหา ในการเข้าร่วมเนื่องจากสถานะทางการเงินไม่เอื้ออำนวย ก่อนที่จะล้มละลาย ในปี ค.ศ. 1902 จอห์น เดวี่ส์ เจ้าของกิจการเบียร์ท้องถิ่นได้เข้ามาดูแลกิจการของสโมสร พวกเขาย้ายมาจาก นอร์ธ โรด เพื่อไปใช้สนามใหม่แถบ แบงค์ สตรีท หลังจากที่ อยู่ที่ นอร์ธ โรด มา 9 ปีเต็ม ขณะเดียวกันเพื่อนบ้านคู่แข่งขันอย่าง อาร์คลิค เปลี่ยนชื่อตัวเองเป็น แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ประธานสโมสรคนแรกของ นิวตัน ฮีธ บอกว่าทีมของเขาสมควรที่จะใช้ชื่อ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ มากกว่า แต่ถึงอย่างไรทีมก็ช้าไป พวกเขาเลยตั้งชื่อกันมามากมายหลายชื่อ เช่น แมนเชสเตอร์ เซ็นทรัล, แมนเชสเตอร์ เซลติก และสองชื่อนี้ถูกปฏิเสธไป ในที่สุดชื่อ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จึงเข้ามาแทนที่ในวันที่ 26 เมษายน ปี ค.ศ. 1902 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คือชื่ออย่างเป็นทางการของพวกเขา จนกระทั่งถึงทุกวันนี้ ผู้จัดการทีมคนแรกของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คือ เออร์เนสต์ แมกนัลล์ แต่ทีมที่ประสบความสำเร็จ กลับกลายเป็น แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คู่ปรับร่วมเมืองที่คว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ ได้ในปี 1904 ทว่าในเวลาต่อมาโดนสอบสวนและ พบว่ามีการจำหน่ายตั๋วผี ก็เลยทำให้เมือง แมนเชสเตอร์ โดนแบนห้ามยุ่งเกี่ยวกับฟุตบอลเป็นเวลาถึง 1 ปี พอพ้นกำหนดโทษห้ามเล่น บิลลี่ เมเรดิธ นักเตะชาวเวลส์ กลายเป็นสมาชิกของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทันที ทีมปีศาจแดงของ แมกนัลล์ ใช้เวลา 2 ปีเต็มถึงสามารถคว้าแชมป์ดิวิชั่นสอง และเลื่อนชั้นมาเล่นในดิวิชั่นหนึ่งได้สำเร็จ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทำสถิติยิง 82 ประตู คว้าแชมป์สมัยแรกไปครอง อย่างยิ่งใหญ่ ในปี ค.ศ. 1908 ด้วยสไตล์การเล่นที่ "เร็วและสวยงาม" อย่างไรก็ตาม จอห์น เดวี่ส์ ประธานสโมสร ได้ทำการเปลี่ยนแปลงสนามเหย้าของทีมอีกครั้ง เขาตัดสินใจย้ายจาก แบงค์ สตรีท ที่โดนวิพากษ์วิจารณ์ว่าพื้นสนามนั้นแย่มาก เขาย้ายห่างจากตัวเมืองไปอีก 5-6 ไมล์ ที่นั่นคือ "แทรฟฟอร์ด พาร์ค" ย่านชานเมือง แมนเชสเตอร์ และ เดวี่ส์ ได้เรียกสนามนัดเหย้าของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แห่งนี้ว่า "โอลด์ แทรฟฟอร์ด" จอห์น เดวี่ส์ มีแผนการสร้างสนาม สปอร์ต คอมเพล็กซ์ มีความจุถึง 80,000 ที่นั้ง มีห้องกายภาพบำบัด สระว่ายน้ำ สิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย พวกเขาสิ้นเงินไปกับสนาม โอลด์ แทรฟฟอร์ด ค่อนข้างมากทำให้ทีมต้องขายนักเตะดีๆ ออกไปหลายคน ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 จะเริ่มต้น ทีมสามารถคว้าแชมป์ลีกมาครองได้ในปี ค.ศ. 1911 และนั่นคือเกียรติยศ ครั้งสุดท้ายของ เออร์เนสต์ แมกนัลล์ มีเหตุการณ์อัปยศเกิดขึ้นในวงการฟุตบอลอังกฤษ เมื่อ ลิเวอร์พูล เดินทางมาเยือน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด ถ้า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่ชนะพวกเขาจะตกชั้นทันที ผลนัดดังกล่าวปรากฏว่าพวกเขาเอาชนะ ลิเวอร์พูล ไป 2-0 และรอดพ้นจากการตกชั้นมาได้ แต่ในรายงานของผู้ตัดสิน ระบุว่า นักเตะฝ่าย ลิเวอร์พูล เล่นกันแปลกๆ เหมือนกับจะล้มบอล... ต่อมามีการสอบสวน และพบว่ามีนักเตะของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ ลิเวอร์พูล ข้างละ 4 คน ต่างพากันล้มบอลล่วงหน้า และมีการไปแทงพนันในร้านรับพนันท้องถิ่นของอังกฤษ ซึ่งผลจากการสอบสวนทำให้นักเตะทั้ง 8 คนนั้น โดนแบนห้ามเล่นฟุตบอลตลอดชีวิต อย่างไรก็ตาม เป็นจังหวะที่เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 พอดี หลังสิ้นสุดสงคราม โทษแบนนั้นได้ถูกยกเลิกไป ทั้งสองทีมจึงกลับมา บูรณะสร้างทีมกันใหม่ รวมไปถึงสภาพสนามที่โดนระเบิดเผาทำลายด้วย